อาชีพการเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขาย มาหลายปีทำให้ผมมีโอกาสได้พบได้เจอกับผู้ประกอบการ มากมาย ตั้งแต่บริษัทฯ ขนาดจิ๋วที่สมาชิกแค่ 4 คน เซลส์แมน 2 คน อาซ้อคุมเรื่องการจ่ายเงิน นอกจากนี้เป็นหน้าที่ของอาเฮียทั้งหมด ไปจนถึงบริษัทฯ ขนาดใหญ่ที่เป็น “มหาชน” ที่มีพนักงานหลายพันคน และ บริษัทฯ ขนาดกลางที่กำลังเตรียมตัวจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ โจทย์ลูกค้าที่มอบหมายมาตอนที่ไปรับบรีฟ ถ้าเป็นบริษัทฯ มหาชน หน้าที่ก็จะประมาณรับผิดชอบโปรเจกต์ย่อยๆ โดยบริษัทฯ จัดเตรียม ทีมงานมาเพียบพร้อม ตัวเองก็มีหน้าที่แค่เหมือนเป็นผู้นำทีม เพื่อวางแนวทาง ให้น้องๆ สามารถทำกันได้เองในอนาคตอันใกล้ ตรงกันข้าม ถ้าเป็นบริษัทฯ ขนาด SME ละก็ แต่ละที่เล่นจัดมา เสียหนักเลย สินค้าก็ไม่ได้เป็นผู้นำในตลาด ตัวสินค้าเองก็ไม่ค่อยแตกต่าง จากคู่แข่ง หน้าชา งบการตลาดก็ดันมีจำกัดเสียอีก แต่ตัวเองคิดว่าโจทย์ หินๆ แบบนี้แหละตื่นเต้นดี ถ้าไม่ได้ลงมือทำคงเสียชาติเกิด ตั้งแต่ชาตินี้ ยันชาติหน้า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำเป็นอันดับแรกก็คือ เข้าไปสืบค้นถึง “จุดแข็ง” ของแต่ละบริษัท แล้วเราจะเริ่มต้นการทำกลยุทธ์การตลาดจากจุดนี้ เชื่อไหมครับ สิ่งที่เราทำนั้นมันสุดแสนจะเบสิกสุดๆ เจ้าของธุรกิจหลายท่าน มีบ่นกับผมว่า “รู้งี้ทำตั้งนานแล้ว” ผมเลยรวบรวมกลยุทธ์ทั้งหมดที่เคยทำมาแล้ว และเห็นว่าได้ผลดี มาลงในหนังสือเล่มนี้ ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจไม่เคยได้ยินคำว่า “หมารอง บ่อน” เคยได้ยินแต่เป็น “ไก่รองบ่อน” สืบเนื่องจากส่วนตัว ชอบคำว่า “Underdog” ครับ มีที่มาจากศัพท์ที่เกิดขึ้นในวงการ “แข่งหมา” หมา ตัวไหนที่วิ่งรั้งท้าย อาจจะเพราะขามันสั้นกว่าตัวอื่น แต่มันก็วิ่งสุดใจ ขาดดิ้น สู้ยิบตา สุดท้ายมันก็วิ่งเอาชนะตัวอื่นได้จนถึงเส้นชัย ก็คงเหมือน กับธุรกิจ SME อย่างเราๆ ท่านๆ แหละครับ แม้ทรัพยากรอาจจะสู้คู่แข่งที่ตัวใหญ่กว่าไม่ได้ แต่ถ้าใจเกินร้อย สู้ไม่ถอย ก็อาจกลายเป็น “ที่หนึ่ง” ในท้ายที่สุด
0