รัฐศาสตร์

" กล่าวถึงการแสดงความเห็นด้านข้อกฎหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศของสองนักวิชาการ ระหว่าง ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ กับ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ซึ่งนักวิชาการทั้งสองมีความเห็นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในคดี ประสาทเขาพระวิหาร ซึ่ง ศ.ดร.อมร เห็นด้วยกับคำพิพากษา และเห็นด้วยกับทฤษฎี ""การเมืองใหม่"" ของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมองว่าจะทำให้การเมืองไทยโปร่งใสและลดความขัดแย้ง ตรงข้ามกับ รศ.ดร.วรเจตน์ ซึ่งมองว่าคำพิพากษาดังกล่าวเป็นการแทรกแซงหลัก ""นิติรัฐ"" และความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันคือ ""แบบจำลองของการต่อสู้ทางชนชั้น"" ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีข้อเขียนจาก ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ นัก

ทุกเรื่องราว ทุกมุมมอง ทุกมุมคิด เกิดจาก "สัญชาตญาณ" ที่ออกมาจาก "จิตใต้สำนึก" ของความเป็น "นักการเมืองไทย" โดยแท้ไม่มีการแต่งแต้มสีสัน เติมแต่งเนื้อหาให้ดูหวือหวาเพื่อความเข้าใจว่า ทำไมการเมืองไทยจึงยังคงวนเวียนเหมือนพายเรือในอ่าง จะเข้าใจว่าทำไม "ชนชั้นนำ" ของไทยถึงไม่สามารถนำพาคนไทยและสังคมไทยให้พ้นจาก" หล้ม" ที่กำลังจะกลืนกินคนไทยทั้งชีวิตให้ได้ลืมตาอ้าปากแบบจริงจังและยืนยาวได้

"""ฉะ แฉ ฉาว 2"" เล่มนี้ เป็นเหมือน ""บันทึกคำให้การ"" จากปากคำของนักการเมือง ทหาร นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แบบละเอียดยิบ ทุกซอก ทุกมุม ทั้งคำให้การของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน, พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ถึงเหตุผลที่ต้องทำรัฐประการ เหตุผลกลับมา ""ยิ่งใหญ่"" ของ ""นักการเมืองตกขอบ"" อย่าง สมัคร สุนทรเวช ที่ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ทุกคำตอบ ทุกคำถาม ถูกถ่ายทอดแบบคำต่อคำ บ่งบอกถึงเหตุผล อารมณ์ ความรู้สึก และลักษณะนิสัย ของแต่ละคนได้อย่างเข้าถึง หนังสือเล่มนี้ เป็นเหมือนเครื่องบันทึกเทป ที่ย้อนเวลากลับ

หนังสือเล่มนี้ กล่าวถึง "พรรคชาติไทย" และชีวิตส่วนตัวของ "บรรหาร ศิลปอาชา" อธิบายถึงการกำเนิดพรรคของ "พรรคชาติไทย" ในยุค "ประชาธิปไตยเบ่งบาน" ให้ความสำคัญสมรภูมิทางการเมืองระหว่างรัฐบาลเปรมจนถึงรัฐบาลชาติชาย อธิบายว่าพรรคชาติไทยไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงเวลานั้นได้อย่างไร เหตุใดผู้นำของพรรคจึงขัดแย้งกับผู้นำเหล่าทัพ จนถูกรัฐประหารเมื่อปี 2534 จนทำให้พรรคตกต่ำ กระทั่งเกิดเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ 2535" ทั้งเมื่อพรรคได้มีนโยบายชูธงปฏิรูปทางการเมือง และร่วมกันขับเคลื่อน "รัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐" ก็ทำให้พรรคเริ่มมีบทบาทโดดเด่นขึ้นบ้าง แม้จะมีข้อครหาว่าเป็น "พรรคปลาไหล" จนถึงวันที่ต้องร่วม

 ส่วนหนังสือเล่มใหม่นี้ ว่าด้วยแนวคิดทางการเมืองของเหมาเจ๋อตง ซึ่งเคยพิมพ์เป็นตอนๆใน มติชนสุดสัปดาห์ โดยใช้ชื่อว่า คุณูปการ และความผิดพลาด ของเหมาเจ๋อตง แล้วมารวมเป็นเล่มโดยใช้ชชื่อว่าวิพากษ์ประธานเหมา

"ลึก" ขนาดไหน ปิด "ไม่ลับ" เจาะข่าวแบบเหนือเมฆ ทุกซอกซอยการเมืองไทย

บันทึกส่วนเสี้ยวของเหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างและหลังเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553ซึ่งผู้เขียนได้แบ่งเป็น 2 ภาค ภาคแรก นำเสนอรูปแบบงานเขียนกึ่งบทภาพยนตร์ ผ่านตัวละครอย่าง “น้องมาร์ค” เราจะได้เห็นลีลายียวนอันกวนโอ๊ยของ “น้องมาร์ค” ในการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเรื่องการเมือง และเสียดสีชนชั้นกลางในกรุเงทพฯ ภาคสอง บทความและบันทึกส่วนตัวของผู้เขียน ที่กล่าวถึงความหวัง ความกล้าหาญ ที่จะให้ชีวิตนั้นดำเนินเดินหน้าต่อสู่ต่อไป

จากการหยุดยั้งพรบ.นิรโทษกรรม เกิดการยุบสภา สู่การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์  และรอการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ วิกฤตการเมืองรอบนี้จะนำไปสู่ทางรอดหรือทางตันของประเทศไทย รวมข้อเขียนวิเคราะห์การเมืองเล่มนี้ รวบรวมประเด็นสำคัญที่ผ่านมา ทั้งเรื่องปฏิรูปการเมือง ยุทธวิธีบริหารการชุมนุม ความผิดพลาดของพรรคเพื่อไทย บทบาทของกองทัพต่อการเมือง สิทธิความเป็นพลเมืองในหลังการ "คนไทยเท่ากัน" ฯลฯ นอกจากความรู้ความเข้าใจต่างๆ ยังมีข้อเสนอแนะจากนักวิชาการ และนักเขียนชื่อดัง 11 ท่าน เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ วีรพงษ์ รามางกูร ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ฯลฯ

หนังสือ “๒๐๓ วัน ชัตดาวน์ ‘ยิ่งลักษณ์’ เปิดศักราช “คสช.” โดย "กองบรรณาธิการมติชน" เล่มนี้ จึงได้อรรถาธิบายถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา นับแต่ความขัดแย้งในรัฐสภาและการปลีกตัวออกจากระบบการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ การถือกำเนิดของ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ “กปปส.” โดยมีหัวเรือใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย “ลุงกำนัน” หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ